เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ ก.พ. ๒๕๕๘

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ธรรมะ สัจธรรมๆ เขาว่าธรรมะเป็นธรรมชาติ ทุกคนศึกษาว่าธรรมะเป็นธรรมชาติแต่ธรรมชาติมันกาลเวลาไง ดูเวลานะ เวลา ๒๔ชั่วโมง เวลาคนเกิดมาในโลกนี้เวลา ๒๔ ชั่วโมงเท่ากัน แต่เวลาของสัตว์ สัตว์ธรรมชาติของมันอายุมันสั้น สัตว์อายุยืน อย่างของเรา ๑๐๐ ปี ถ้าสุนัข สุนัขถ้ามัน๑๐ ปี มันเหมือนกับเรา ๗๐-๘๐ ปีแล้วแล้ว เห็นไหม กาลเวลาเหมือนกัน แต่สถานะของสัตว์สถานะของวัฏฏะมันแตกต่างกัน

แล้วเราเกิดเป็นคนเหมือนกัน เราเกิดเป็นคนเหมือนกัน ๒๔ชั่วโมงเหมือนกัน๒๔ ชั่วโมงของเด็กๆ ๒๔ ชั่วโมงเขามีแต่ความสุขความสนุกสนานของเขา ๒๔ชั่วโมงของเรา๒๔ ชั่วโมงของเราปากกัดตีนถีบ เราต้องมีหน้าที่การงานรับผิดชอบหัวปั่นเลย ๒๔ ชั่วโมงของเรา แต่ ๒๔ชั่วโมงของคนมีความทุกข์ มีความทุกข์ ๒๔ชั่วโมง กาลเวลามันช้านัก แต่ ๒๔ชั่วโมงของคนมีความสุข โอ๋ย! ความสุขทำไมมันผ่านไปเร็วนักนี่ ๒๔ ชั่วโมงของคนมีความสุขเห็นไหม ความสุขหรือความทุกข์ จิตใจของเรา ๒๔ ชั่วโมงเหมือนกัน เราจะบริหารจัดการมันอย่างไร ๒๔ชั่วโมงเหมือนกัน

เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติแล้วท่านข้ามพ้นกาลเวลาไป วันคืนล่วงไปๆ วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เธอทำอะไรอยู่ถ้าเรามีทุกข์มียากอยู่ บัดนี้เราทำอะไรอยู่? บัดนี้เราทำมาหากินอยู่ บัดนี้เราพยายามแสวงหาปัจจัยเครื่องอาศัยอยู่บัดนี้เราพยายามทำความมั่นคงของชีวิตอยู่ แต่ไม่มีสิ่งใดเป็นสมบัติของเราเลย

เวลามาทำบุญกุศลนี่เป็นอามิส อามิส เราทำบุญกุศลของเราไป สิ่งนี้เป็นอามิส อามิสคือว่ามันต้องมีผลกระทบไง อามิสมันต้องมีวัตถุ มีการเสียสละ มันเป็นอามิส แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์ “อานนท์เธอบอกเขานะบอกว่าให้ปฏิบัติบูชาเราเถิดปฏิบัติบูชาเราเถิด” ปฏิบัติบูชาเรามันก็ต้องมีร่างกายนะ เวลาร่างกาย เรานั่งภาวนา นี่บุญกิริยาวัตถุ เราถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ดอกไม้ธูปเทียนเขาเอาใส่พานแล้วบูชาพระ เขาบูชาพระเรานั่งสมาธินะเรายกจิตใจกับร่างกายนี้บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เธอจงปฏิบัติบูชาเถิด” เราปฏิบัติบูชาเห็นไหม “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นได้เห็นตถาคต” เวลาปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาจิตเราสงบขึ้นมา พุทธะผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันซาบซึ้ง

เวลาคนเขาไปอินเดียกันเขาไปอินเดียเขาไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เขาไปแล้วเขาซาบซึ้ง เขาซาบซึ้งนะซาบซึ้งขนาดไหนมันก็เป็นอามิส เป็นสถานที่ เป็นที่ที่เราไปพอเราไปแล้วเราไปเชิดชู องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้ บอกไว้เพื่อชักนำไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมานะ จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์เทศนาว่าการ คนที่เขามีวุฒิภาวะอ่อนด้อย อนุปุพพิกถา ให้เขาทำทานก่อน พอทำทานขึ้นมาแล้วจิตใจของเขาเขาได้บุญกุศลของเขา เขาก็จะไปเกิดบนสวรรค์พอเกิดบนสวรรค์แล้ว ผลของอามิส กาลเวลามันก็แตกต่างกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ถือเนกขัมมะ ถ้าถือเนกขัมมะแล้ว ถ้าจิตใจเขาผ่องแผ้วแล้วจะเทศน์เรื่องอริยสัจ เรื่องอริยสัจ สัจจะความจริง เทศน์เรื่องอริยสัจ ทุกข์สมุทัย นิโรธมรรค แต่เราไม่รู้จักทุกข์ สมุทัยนิโรธ มรรค เรารู้จักแต่สุขๆ ไงเวลาเราต้องการแต่ความสุข นี่ชักนำๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์เพื่อจะน้อมนำไว้ ชักนำไว้ น้อมไว้น้อมนำเข้ามาให้สู่ศาสนา

มนุษย์ต่างจากสัตว์เพราะมีศีลธรรมมนุษย์ถ้าไม่มีศีลธรรม เลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์ สัตว์กาลเวลาของมัน๒๔ ชั่วโมงของมัน เวลา ๒๔ชั่วโมงของเราล่ะถ้าเรามีความทุกข์ความยากมันก็เป็นความทุกข์ความยากของเรา ถ้ามีความสุขของเรากาลเวลามันผ่านไปมันเร็วขนาดไหน ธรรมะเป็นธรรมชาติ กาลเวลามันเปลี่ยนแปลงของมันไป แล้วเวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา บุญกิริยาวัตถุถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ยกร่างกายและจิตใจนี้ถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ร่างกายนี้เป็นธาตุ ๔ พอเป็นธาตุ ๔ เราจับไปตั้งไว้ที่ไหนมันก็อยู่ที่นั่นแหละ ร่างกายนี้มันดิ้นรนไม่ได้แต่หัวใจมันกวัดแกว่ง หัวใจมันไม่สมความปรารถนา หัวใจมันไม่ซื่อสัตย์หัวใจตั้งใจตั้งใจจะบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วนั่งอยู่นี่มันคิดไปไหนหัวใจมันคิดไปไหน ทำไมหัวใจมันไม่บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าล่ะ? เพราะมันบูชามารไง มันบูชามาร มารครอบครัวของมาร ปู่ย่าของมาร ลูกของมารหลานของมารเหลนของมาร ไปบูชามารไง ถ้าบูชามาร นี่เราไม่ซื่อสัตย์ ถ้าซื่อสัตย์ ซื่อสัตย์สุจริต มีศีล

ถ้าไม่สุจริต เห็นไหมเวลาเขาทำความผิดพลาดกัน เขาบอกว่านี่เป็นอาบัติ นี่ผิดศีลๆคำว่า “ผิดศีล” ผิดศีลมันเกิดมาจากไหน? ผิดศีลมันเกิดจากเจตนา ถ้ามีเจตนา มีเจตนามีการกระทำมโนกรรม ไม่มีมโนกรรมนะมนุษย์เป็นสัตว์ประหลาด คิดอย่างหนึ่ง พูดอย่างหนึ่ง ทำอย่างหนึ่ง มันคิดอะไรมันพูดอย่างนั้นไม่ได้ไงมันมารยาทสังคมไง มันต้องโกหกกัน มึงโกหกกู กูโกหกมึง โกหกกันไปโกหกกันมาเพื่อมารยาท แต่ความจริงมันทุกข์ มันพูดออกมาไม่ได้ไง

ถ้าความจริงพูดออกมาไม่ได้ เราประพฤติปฏิบัติเข้าไปสู่ความจริง ไปเจอมัน ไปเจอมัน ไปเจอสัจจะ ไปเจอความจริง ไปเจอหัวใจ ถ้าไปเจอหัวใจของเรา ภวาสวะ ภพ สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงานถ้าฐานที่ตั้งแห่งการงาน ดูสิ เวลากาลเวลามันเปลี่ยนแปลงไปความคิดของคนเร็วกว่าแสง เราคิดถึงดาวอังคาร เราคิดเราไปได้หมดแหละ มันไปก่อนด้วย

เขายิงยานอวกาศไปกว่าเขาจะไปเขาต้องคำนวณเวลาของเขานะแต่ของเรา เราคิด ไปแล้ว มันไปแล้ว แต่จริงไม่จริงอีกเรื่องหนึ่ง จริงไม่จริงอีกเรื่องหนึ่งเพราะอะไร เพราะว่าจินตนาการของคนไม่เหมือนกัน จินตนาการของคน วุฒิภาวะของคนไม่เหมือนกัน

วุฒิภาวะของคน คนสร้างอำนาจวาสนามามากนะ มันแถไปไม่ได้หรอก พอมันจะคิดออกนอกเรื่องนอกราวนะ นี่มโนกรรม ดูสิเวลาคนที่มีอำนาจวาสนาบารมีมันคิดแต่เรื่องดีๆ ความคิดเรื่องดีๆ นั่นไง นี่ฝ่ายมรรคเวลามันฝ่ายมรรคนะ มรรคต้องมีการกระทำมรรคต้องมีการขวนขวาย เราขวนขวายมีการกระทำขึ้นมา คนจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะความอุตสาหะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเทศนากับปัญจวัคคีย์ เห็นไหม อยู่กันมา ๖ปี ๖ ปียังไม่มีคุณธรรม ไม่มีคุณธรรมพยายามขวนขวายพยายามค้นคว้าอยู่ ๖ ปี ไม่มีสิ่งใดพูดสิ่งใดแล้วมันสะกิดหัวใจ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมาถึงที่สุดแล้ว ทำทุกรกิริยาทั้งหมดแล้วมันไปไม่รอด มันไปไม่รอด เพราะว่ามันทำจบแล้วกิเลสมันก็ยังเหมือนเดิม เวลามันละเอียดเข้าไป กิเลสก็ละเอียดตามเข้าไป มันเฉามันเศร้า มันเหงามันหงอย มันไม่สำรอก มันไม่คาย

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องย้อนกลับมา ย้อนกลับมาค้นคว้าเองในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาสวักขยญาณ มันสำรอก มันคายพอมันคายออกมันคาย มันมีการกระทำ มันมีการคาย ฉะนั้นเวลาเสวยวิมุตติสุขแล้วจะไปเทศน์โปรดปัญจวัคคีย์ปัญจวัคคีย์นัดกัน “เวลาปฏิบัติขึ้นมาเข้มข้นขนาดนั้นยังปฏิบัติไม่ได้ แล้วพอมาฉันอาหารของนางสุชาดาไปมักมากอย่างนั้นมันจะสอนสิ่งใดเรา” นี่คิดกันนัดกัน ค้านไว้ไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไป “เธอจงเงี่ยหูลงฟัง สิ่งที่อยู่ด้วยกันมา ๖ปี เราไม่รู้เราก็บอกว่าไม่รู้ เราไม่เคยบอกเลยแต่คราวนี้เราว่าเรารู้ เรารู้” แล้วรู้อย่างไรล่ะปัญจวัคคีย์ไม่รู้ด้วย

นี่ไง“บัดนี้เธอจงเงี่ยหูลงฟัง ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้ เดี๋ยวนี้ว่ารู้” รู้เพราะอะไร รู้เพราะมีกิจจญาณ สัจจญาณ มีกิจจญาณ มีวงรอบ๑๒ ของมรรคมันมีมรรค มีการกระทำหัวใจมันมีการกระทำมันถึงสำรอกมันถึงคายของมัน เวลาคายของมันออกไป สิ่งนี้จะเทศนาว่าการ “สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นต้องดับเป็นธรรมดา” นี่มันเป็นวุฒิภาวะของพระอรหันต์ผู้ที่เห็นตามความเป็นจริงไง

ของเราก็เห็นเป็นธรรมดาเปิดไฟปิดไฟนี่ธรรมดา เสียบปลั๊กถอดปลั๊กทุกวันเลย ธรรมดาๆเสียบไปเสียบมามันเผลอ มันเอานิ้วเสียบเข้าไปช็อตตายเลย ทีแรกมันก็เสียบปลั๊กนั่นแหละแหม! เสียบปลั๊ก“เป็นธรรมดาเป็นธรรมดา” เสียบไปเสียบมามันเอา ๒ นิ้วเสียบเข้าไปเลยเรียบร้อยธรรมดา ธรรมดาก็ช็อตตายนั่นล่ะมันธรรมดามันไม่มีกิจจญาณ ไม่มีการกระทำ

เราต้องซื่อสัตย์ ถ้าเราซื่อสัตย์เราก็มีศีล มีศีลมีธรรมถ้าไม่มีศีลไม่มีธรรมมันเป็นอย่างนั้นแหละเพราะกิเลส คนเรามันมีกิเลสไงกิเลสมันปลิ้นปล้อน กิเลสมันปลิ้นปล้อน สิ่งที่ร้ายที่สุดที่ทำลายเราคือกิเลสของเรานี่แหละ แล้วที่เราพยายามแสวงหากัน เราแสวงหาคุณงามความดี แสวงหาธรรมไง

ธรรมมันคืออะไรล่ะ ธรรมไปแสวงหาที่ไหนไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ ก็ไปสถานที่ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดตรัสรู้ ปฐมเทศนาปรินิพพาน มันก็จริง มันมีจริงๆเพราะอะไร เพราะพวกเรามันโลเลไง “มรรคผลมีหรือเปล่า มันจะมีจริงหรือเปล่า ศาสนานี้มันเล่าๆ กันมามั้ง มันไม่จริงหรอก” พอไปเจออันที่จริง อ้าว! จริงๆ มันมีนะ เออ! มันมีขึ้นมาก็ซาบซึ้งๆ อันนั้นเราจะต้องแสวงหา

แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์นะ“อานนท์ เธอบอกเขานะ บอกเขาๆ บอกเขาให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด” ไม่ต้องนั่งเครื่องบินไปถึงอินเดีย นั่งลงที่ในห้องพระเรานั่งลงกำหนดพุทโธๆ ทำความสงบของใจซื่อสัตย์กับตัวเอง แล้วผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เห็นไหมตถาคตยังมีชีวิตตถาคตมีความรู้สึก ตถาคตมีความสุข ตถาคตมีความเวิ้งว้าง

ตถาคตนะ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” เห็นไหมเห็นร่มเงา แค่สมาธิ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานความพุทธะพุทธะเราก็เขียนสิ พุทโธ พุทโธก็เขียน ร.เรือ สระอูไม้โท รู้ พุทโธๆแล้วมันโธตรงไหนล่ะ เห็นไหมศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดนั้นเป็นกิริยาทั้งหมด นั้นเป็นวิธีการทั้งหมดวิธีการ วิธีการชี้เข้ามาสู่หัวใจของเราให้ประพฤติปฏิบัติกิจจญาณไง “ถ้าเราไม่มีกิจจญาณ เราไม่บอกว่าเราเป็นพระอรหันต์” เราไม่มีกิจจญาณ ไม่มีสัจจญาณ ไม่มีการกระทำขึ้นมามันเป็นไปได้อย่างไรมันเป็นไปไม่ได้

แต่พวกเราฟังๆ มา มันก็เขาเสียบปลั๊กเสียบปลั๊ก เราก็เอานิ้วเสียบเลยนี่เสียบปลั๊ก ไฟช็อตตายเลยแล้วบอกอันนี้พระพุทธเจ้าสอนผิด พระพุทธเจ้าบอกให้เสียบปลั๊ก เราก็เสียบ“ธรรมดา เกิดดับเป็นธรรมดา” เสียบเข้าไปมันช็อตตายอยู่นี่“มันธรรมดา มันธรรมดา”

เขาบอกไว้ เขาบอกพลังงานนั้นมันเป็นพลังงานไฟฟ้า มันมีประโยชน์และมีโทษ ถ้ามันมีประโยชน์ ธรรมะดูสิ ธรรมะสัจธรรม ถ้ามันจะเป็นโทษมันก็เป็นโทษกับกิเลส มันจะบีบบี้สีไฟกิเลส กิเลสมันกลัว พอมันกลัวมันก็พลิกแพลง “รู้แล้วเข้าใจแล้ว”...มันรู้ก่อน มันรู้ก่อนมันรู้ของมัน แล้วมันเป็นประโยชน์กับใครล่ะ

นี่ไง ที่ว่ากาลเวลา กาลเวลาของสัตว์ก็อย่างหนึ่ง กาลเวลาของมนุษย์ก็อย่างหนึ่ง กาลเวลาของคนมีความสุขความทุกข์ก็อย่างหนึ่งเราอยู่กับทางโลก ๒๔ ชั่วโมงก็เป็นของเรานั่นแหละ เวลาบวชเป็นพระขึ้นมาแล้ว ๒๔ ชั่วโมงทางของสมณะเป็นทางที่กว้างขวาง ๒๔ ชั่วโมงของเราต้องปฏิบัติตลอดเวลา เวลาปฏิบัตินะ เวลาจิตมันเสื่อมนะ มันท้อแท้มันเหนื่อยหน่ายเวลาทำไมมันช้านัก เวลานั่งสมาธินะ ตั้งนาฬิกาไว้นาฬิกามันเดินช้ามากเลย ทุบทิ้งเลย ทุบนาฬิกา เมื่อไหร่จะชั่วโมงสักที

ภาวนาเอาความสงบไม่ใช่เอานาฬิกาภาวนาแล้วไปเอานาฬิกาได้อย่างไรล่ะ ไอ้นั่นมันเครื่องจักรกลเครื่องจักรกลเขาทำขึ้นมาบอกเวลา แต่ของเรามันอยู่ที่นี่ไงถ้ามันอยู่ที่นี่ ทำที่นี่ ถ้าทำที่นี่เวลาจิตมันสงบเวลาคนที่ปฏิบัติโอ้โฮ! มันลงนะมันลงที ๓ชั่วโมง ๔ ชั่วโมงแป๊บเดียว ลงไปมันแป๊บเดียว มันเร็วขนาดนั้นแล้วยิ่งภาวนาดีนะ วันคืนมันล่วงไป มันเร็วมากเลยนะ มันเร็วมากถ้ามันเร็วของมันเพราะมันมีความสุขของมันไง

เพราะเวลาคนปฏิบัตินะ เช่น หลวงตาหลวงตาท่านออกจากวัดดอยธรรมเจดีย์ไปที่บ้านผือ ท่านไปปฏิบัติ ท่านเป็นโรคเสียดอกท่านบอกว่าเวลามันรู้เลย เพราะอะไร เพราะท่านไปสวดศพเขาเอง วันหนึ่งตาย๕ คน ๖ คน แล้วพอท่านเป็นเองมันคิดขึ้นมา ยังไม่อยากตาย ยังไม่อยากตายเพราะอะไรเพราะมันยังมีสิ่งตกค้างอยู่ในใจมันไม่อยากตายแต่ถ้ามันทำสิ่งตกค้างในใจหมดแล้วนะ จะตายเดี๋ยวนี้ก็ได้จะตายเดี๋ยวนี้ก็ได้ แต่ตอนนี้สิ่งตกค้างมันอยู่ในใจ มันยังไม่อยากตาย ถ้าตายแล้วไปเกิดอีกไงมันไม่อยากตายเห็นไหม นี่เวลาคนที่เขาขวนขวาย

เรื่องนี้เรื่องกาลเวลาเรื่องสิ่งต่างๆเขาพยายามขอเวลาเพื่อให้ประพฤติปฏิบัติเขาขอเวลานะ นี่สัปปายะ สถานที่เป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์ หลวงตา หลวงปู่มั่นท่านไม่ให้ทำอะไรเลย ท่านให้เข้าแต่ทางจงกรม ให้แต่นั่งสมาธิภาวนาท่านสงวนไว้ให้ท่านสงวนเวลาไว้ให้ ท่านเปิดช่องทางไว้ให้แต่กิเลสมันไม่เอา กิเลสมันเข้าทางจงกรมมันก็เบื่อ มันก็เครียดมันอยากจะไปนั่งสุมหัวคุยกัน“เมื่อกี้ภาวนามานะ สุดยอดสุดยอด” มันจะไปนั่งโม้กันว่าภาวนามันสุดยอด แล้วทางจงกรมมันไม่เอาแต่ครูบาอาจารย์ท่านรู้ทัน ท่านปิดช่องๆ ท่านให้ลงตรงนั้น ถ้าไปอยู่กับครูบาอาจารย์มันได้แบบอย่างมาอย่างนั้นไง มันได้แบบอย่างจากครูบาอาจารย์ เพราะอะไร

หลวงตาท่านพูดประจำนะ ขอให้อยู่คนเดียว มีความสุขมากเลย ออกมาคลุกคลี ออกมาเพื่อประโยชน์ขอให้อยู่คนเดียว มันสุขมากๆ นี่ไง มันพ้นกาลเวลาไง มันจะมืดจะแจ้งก็เรื่องของมัน เราอยู่กับมัน มันจะมืดจะแจ้งพระอาทิตย์จะขึ้นจะลงก็กาลเวลาของเขา เราก็รอ รอเวลาของเรานี่ไง ในเมื่อธาตุ ๔ มันชราคร่ำคร่า เรือลำนี้เกวียนลำนี้ สิ่งอาศัยบ้านเรือนหลังนี้มันต้องชราคร่ำคร่า มันต้องเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดาสักวันหนึ่งเราต้องพลัดพรากจากมันเป็นธรรมดา รอเวลาที่จะพลัดพรากไงรอเวลาที่จะไป ลาสังสารวัฏ ลากันเสียที พ้นกาลเวลา พ้นการเวียนว่ายตายเกิด ลากันเสียทีไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิด นี่มันมาจากเราจากการจุดประเด็นที่เราจะขวนขวาย

เวลาของเรา เราเปรียบเทียบสิ ระหว่างสัตว์กับเรา แล้วเราจะมีคุณค่ามากกว่าไหม แล้วเวลาปฏิบัติเรามีคุณค่าขึ้นมาจิตใจเราเป็น สิ่งนั้นเราแสวงหาไหม ถ้าแสวงหาเราทำตรงนี้เพื่อประโยชน์กับเราตั้งสติไว้ อย่าให้ครอบครัวของมารมันลากไปเราต่างหากต้องลากมันมา เราต่างหากต้องมีคุณธรรม เราต่างหากต้องมีมรรคพาหัวใจเข้าไปสิ้นสุดแห่งทุกข์เอวัง